วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จำนวนเชิงซ้อน

จำนวนเชิงซ้อน (อังกฤษ : complex number) ในทางคณิตศาสตร์ คือ เซตที่ต่อเติมจากเซตของจำนวนจริงโดยเพิ่มจำนวน i ซึ่งทำให้สมการ i2 + 1 = 0 เป็นจริง และหลังจากนั้นเพิ่มสมาชิกตัวอื่นๆ เข้าไปจนกระทั่งเซตที่ได้ใหม่มีสมบัติปิดภายใต้การบวกและการคูณ จำนวนเชิงซ้อน z ทุกตัวสามารถเขียนอยู่ในรูป x + iy โดยที่ x และ y เป็นจำนวนจริง โดยเราเรียก x และ y ว่าส่วนจริง (real part) และส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ z ตามลำดับ
เซตของจำนวนเชิงซ้อนทุกตัวมักถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ \mathbb{C} จากนิยามข้างต้นเราได้ว่าเซตของจำนวนจริงเป็นสับเซตของเซตของจำนวนเชิงซ้อน ดังนั้นจำนวนจริงทุกตัวเป็นจำนวนเชิงซ้อน เราสามารถบวก ลบ คูณ และหารสมาชิกสองตัวใดๆ ของเซตของจำนวนเชิงซ้อนได้ (เว้นแต่ในกรณีที่ตัวหารคือศูนย์) และผลลัพธ์ที่ได้จำเป็นจำนวนเชิงซ้อนเสมอ ดังนั้นในทางคณิตศาสตร์เราจึงกล่าวว่าเซตของจำนวนเชิงซ้อนเป็นฟีลด์ นอกจากนี้เซตของจำนวนเชิงซ้อนยังมีสมบัติปิดทางพีชคณิต (algebraically closed) กล่าวคือ พหุนามที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเชิงซ้อนจะมีราก (พหุนาม)เป็นจำนวนเชิงซ้อนด้วย สมบัตินี้เป็นที่รู้จักในชื่อทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต
นอกจากนี้ ในทางคณิตศาสตร์แล้วคำว่า "เชิงซ้อน" ถูกใช้เป็นคำคุณศัพท์ที่มีความหมายว่าฟีลด์ของตัวเลขที่เราสนใจคือฟีลด์ของจำนวนเชิงซ้อน ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์เชิงซ้อน, พหุนามเชิงซ้อน, แมทริกซ์เชิงซ้อน, และพีชคณิตลีเชิงซ้อน เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บทสนทนา

A : How many brothers and sisters do you have?
ฮาว เมนี บราเธอะซ์ แอนด์ ซิสเทอะซ์ ดู ยู แฮฟว
คุณมีพี่น้องกี่คนครับ

B : I have an older sister and two younger brothers.
ไอ แฮฟว แอน โอลเดอะ ซิสเทอะ แอนด์ ทู ยังเกอะ บราเธอะซ์

A : Do you live with your parents?
ดู ยู ลีฟว วิธ ยัวร์ พาเรนท์ซ
คุณอาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือเปล่าครับ

B : Yes, I do. What about you? How many people are there in your family?
เยส, ไอ ดู. วอท อะเบาท์ ยู? ฮาว เมนี พีเพิล อาร์ แดร์ อิน ยัวร์ แฟมิลี?
ใช่ค่ะ แล้วครอบครัวคุณมีกี่คนคะ

A : There are six people in my family; my dad, my mom, my older brother, my younger sister, my twin and I.
แดร์ อาร์ ซิกซ์ พีเพิล อิน มาย แฟมิลี; มาย แดด, มาย มัม, มาย โอลเดอะ บราเธอะ, มาย ยังเกอะ ซิสเทอะ, มาย ทวิน แอนด์ ไอ
ครอบครัวผมมี 6 คนครับ มีคุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย น้องสาว คู่แฝดของผม แล้วก็ผมครับ

B: How are your family members?
ฮาว อา ยัวร์ แฟมมิลี เมมเบอะซ์
สมาชิกในครอบครัวคุณสบายดีไหมคะ

A : My parents have got a cold, but the others are fine.
มาย พาเรนท์ซ แฮฟว กอท อะ โคลด์, บัท ดิ อาเธอะซ์ อา ไฟน์
คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นหวัด แต่คนอื่นๆ สบายดีครับ

B : Hope your parents get well soon.
โฮพ ยัวร์ พาเรนท์ซ เกท เวล ซูน
ขอให้คุณพ่อคุณแม่ของคุณดีขึ้นภายในเร็ววันนะคะ

A : Thank you
แธงคิว
ขอบคุณครับ

สงครามโลกครั้งที่ 1

สถานการณ์ของสงคราม
แนวรบด้านตะวันออก
รัสเซียส่งกองทัพเข้าโจมตีเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี ระยะแรกรัสเซียชนะ แต่หลังจาก ค.1915 รัสเซียเป็นฝ่ายแพ้ เยอรมันจึงยึดครองเมืองวอร์ซอและเมืองวิลนาในโปแลนด์ ทำให้ทหารรัสเซียตายและบาดเจ็บกว่า 1 ล้านคน รัสเซียพยายามสู้รบอีกในปี ค.1916 แต่ก็พ่ายแพ้อีก
แนวรบด้านตะวันตก
 กองทัพเยอรมันได้บุกผ่านประเทศเบลเยียมอย่างรวดเร็วตามแผนชลีฟเฟิน เพื่อโจมตีฝรั่งเศส แต่ได้รับการต่อต้านจากฝ่ายสัมพันธมิตรจนไม่สามารถรุกต่อไปยังกรุงปารีสได้ กองทัพทั้งสองฝ่ายได้ตั้งทัพกันอยู่เป็นเวลา 3 ปี
แนวรบด้านบอลข่าน
กองทัพออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถเอาชนะเซอร์เบียได้ เมื่อตุรกีและบัลแกเรียเข้ามาช่วยฝ่ายมหาอำนาจกลาง ค.1915 กองทัพฝ่ายมหาอำนาจกลางก็สามารถเข้ายึดครองประเทศเซอร์เบีย แอลเบเนีย และ
มอนเตเนโกรได้ในเวลาต่อมา
แนวรบทางทะเล
กองทัพเรืออังกฤษสามารถเอาชนะกองทัพเยอรมั แน และตัดขาดเส้นทางคมนาคมทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้สำเร็จ ต่อมาเยอรมนีหันไปใช้เรือดำน้ำทำลายเรือรบและเรือสินค้ารอบๆ เกาะอังกฤษ ใน ค.1915 เรือดำน้ำจมเรือกลไฟฝรั่งเศสชื่อ ซัสเซก ส่งผลให้ ชาวอเมริกันที่โดลสารมาเสียชีวิต สร้างความไม่พอใจให้แก่สหรัฐอเมริกามากจึงเข้าช่วยฝ่ายสัมพันธมิตร ประกาศสงคราม เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.1917
การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา
หลังจากอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้วส่งทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ทางบก เรือ และอากาศ เรือ และอากาศร่วมรบและสามารถปราบเรือดำน้ำได้ผลดี ค.1918 รัฐบาลอเมริกาได้เพิ่มกำลังทหารเข้าไปในยุโรปกว่า
 1  ล้านคน และได้รับชัยชนะที่แม่น้ำมาร์น
ครั้งที่ 2 เยอรมันเริ่มล่าถอยส่วนประเทศพันธมิตรของเยอรมนี ได้แก่ ออสเตรีย-บัลแกเรีย และตุรกีเริ่มพ่ายแพ้ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.1918 ออสเตรีย-ฮังการีแยกเป็น 2  ประเทศ ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.1918 เยอรมนีลงนามในสัญญาสงบศึก สงครามโลกครั้งที่ 1 จึงได้ยุติลง

ผลของสงคราม
1.ทางด้านสังคม
มีทหารเข้าร่วม 65 ล้านคน ทหารเสียชีวิตประมาณ 8.6 ล้านคน บาดเจ็บมากกว่า 20 ล้านคน พิการตลอดชีพ 7ล้านคน การสูญเสียครั้งสำคัญ คือ ยุทธการที่แวร์เดิง และยุทธการที่ซอม สูญเสียชีวิตพลเรือนนับล้านคน สงครามครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาชนพลัดถิ่น ปัญหาผู้บาดเจ็บและทุพพลภาพเป็นจำนวนมาก
2.ทางด้านการเมือง
ยุโรปอ่อนแอลงประเทศมหาอำนาจกลาง เช่น เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามต้องล่มสลายลงโดยต้องเสียอาณานิคม ดินแดนในครอบครอง และถูกลดกำลังทหารและอาวุธลง ประเทศที่ชนะสงครามประสบปัญหาเช่นกัน สมรภูมิรบอยู่ในยุโรป และเป็นผลให้เกิดมหาอำนาจใหม่นาจขึ้น คือ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
3.ทางด้านเศรษฐกิจ
สงครามครั้งนี้ต่างทุ่มทุนอย่างมหาศาลเพื่อผลิตอาวุธใหม่ๆ เช่น ปืนใหญ่ ปืนกล เรือรบ เครื่องบิน ระเบิด รถถัง เรือดำน้ำ แก๊สพิษ เพราะหวังจะได้รับชัยชนะจากการทำลายล้างโดยอาวุธเหล่านี้ นอกจากนี้ประสงค์ต่อชีวิตข้าศึกแล้วยังสร้างความเสียหายแก่สถานที่และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ส่วนฝ่ายแพ้สงครามต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม แม้แต่ฝ่ายที่ชนะสงครามก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้ประสบภัยพิบัติจากสงคราม



การเจริญเติบโตของรากและลำต้น

การเจริญเติบโตของรากและลำต้น
     สมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต คือ  การเจริญเติบโต  พืชเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง  ย่อมต้องมีการเจริญเติบโตเช่นกัน
 การเจริญเติบโตขั้นต้น (Primary growth)
                การเจริญเติบโตขั้นต้น ของลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่ที่บริเวณปลายยอดหรือปลายกิ่ง  ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย  หรือ เอพิคอล  เมริสเต็ม (Apical  meristem) ซึ่งมีการแบ่งเซลล์อยู่ตลอดเวลา  ทำให้เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายถูกดันให้ยืดยาวออกไปเรื่อย ๆ  ส่วนที่เกิดจากเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายแบ่งเซลล์ออกมา  กลายเป็นเนื้อเยื่อเจริญขั้นต้น (Primary  meristem) ซึ่งแยกออกเป็น  3 บริเวณ  คือ  โพรโทเดิร์ม  (Protoderm) กราวด์เมริสเต็ม (Ground  meristem) หรือเนื้อเยื่อเจริญขั้นพื้นฐาน  และโพรแคมเบียม (Procambium) เนื่อเยื่อทั้ง  3 บริเวณนี้เจริญมาจาก  เอพิคอลเมริสเต็ม ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นเนื้อเยื่อถาวร  (Permanent  tissue) ชนิดเนื้อเยื่อถาวรขั้นต้ร (Primary  permanent  tissue) คือ
โพรโทเดิร์ม  เปลี่ยนเป็น  เอพิเดอร์มิส 
โพรแคมเบียม
  เปลี่ยนเป็น โฟลเอ็มขั้นต้น ไซเลมขั้นต้น  และวาสคิวลาร์แคมเบียม 
กราวด์ เมริสเต็ม
  มีอยู่ทั้งด้านนอกและด้านในของโพรแคมเบียมเปลี่ยนเป็น  คอร์เทกซ์ (Cortex )  พิธ  (Pith) และพิธเรย์ (Pith  ray) ตามลำดับ

                จากการดูสไลด์สำเร็จของรากหรือลำต้นตัดตามขวางแล้ว  ใช้เลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยายมากส่องดูวาสคิวลาร์บันเดิล จะพบว่ามีเนื้อเยื่อไซเลมและโฟลเอ็ม  หากดูจากศูนย์กลางของรากหรือลำต้น เป็นหลักแล้วจะเห็นโฟลเอ็มอยู่ด้านนอก  และไซเลมจะอยู่ด้านใน  ในไซเลมจะเห็นเซลล์ขนาดใหญ่มีผนังเซลล์หนา   รูปร่างหลายเหลี่ยม  หรือรูปวงกลม  หากสไลด์สำเร็จนั้นย้อมสีซาฟรานินจะเห็นเซลล์เหล่านี้ติดสีแดง  ส่วนใหญ่เป็นเทรคีด  และเวสเซล
                สำหรับโฟลเอ็ม  เซลล์มีขนาดเล็กกว่า  ผนังบางกว่า  รูปร่างหลายเหลี่ยมเซลล์จะมีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นกับชนิดของพืช
                ในพืชใบเลี้ยงคู่ระหว่างชั้นของไซเลมและโฟลเอ็ม  มีชั้นแคมเบียม(Cambium) เป็นเซลล์เรียงตัวเป็นแถวผนังบางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแทรกอยู่แคมเบียมเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่แบ่งเซลล์ได้เรื่อย ๆ ในลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว  ส่วนวาสคิวลาร์บันเดิล  จะเห็นเซลล์ค่อนข้างกลมขนาดใหญ่  ปกติจะมี   2  เซลล์  นั่นคือ  เวสเซลของไซเลม  สำหรับโฟลเอ็ม  เซลล์มีลักษณะเป็นรูปหลายเหลี่ยม  ขนาดเล็กกว่าไซเลม  รวมอยู่ทางด้านบนของกลุ่มไซเลม  ทางด้านล่างของกลุ่มวาสคิวลาร์บันเดิลมีส่วนเป็นช่องว่างของช่องอากาศ
การเจริญเติบโตขั้นที่สอง  (Secondary  growth ) ของลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
                การเจริญเติบโตขั้นที่สองนี้ จะทำให้พืชมีขนาดใหญ่ขึ้นตามเส้นรอบวง  ขณะเดียวกัน  ทางยอดของพืชก็ยังคงเจริญเติบโตต่อไป  การเจริญเติบโตทางด้านข้างนี้  ทำให้พืชเติบโตต่อเนื่องกับการเจริญเติบโตส่วนยอด  และทำให้พืชมีอายุยืนยาวมากขึ้น  แม้เซลล์พืชจะมีอายุไม่เกิน  3  ปี
                การเจริญเติบโตขั้นที่สอง  เป็นการสร้างเนื้อเยื่อลำเลียงขั้นที่สองโดยมีกระบวนการเปลี่ยนแปลง คือ  การสร้างวาสคิวลาร์แคมเบียม (Vascular  cambium) ซึ่งเกิดจากเซลล์ของพิธเรย์ (พิธเรย์เจริญมาจาก  กราวด์ เมริสเต็ม) เนื้อเยื่อเจริญชื่อว่า อินเตอร์ฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม (Interfascicular  cambium) ไปเชื่อมติดกับฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม  (ที่อยู่ระหว่างไซเลมขั้นต้น และโฟลเอ็มขั้นต้น)  กลายเป็นวงแหวน  จึงเรียกชื่อใหม่ว่า  วาสคิวลาร์แคมเบียม
ในพืชพวกไม้เนื้อแข็ง  แคมเบียมจะแบ่งได้เซลล์  2  ชนิด  คือ  ถ้าแบ่งเซลล์ออกด้านนอกจะกลายเป็นโฟลเอ็มขั้นที่สอง  (Secondary  pholoem) และแบ่งเข้าข้างในจะกลายเป็นไซเลมขั้นที่สอง  (Secondary   xylem) ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์ฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม  หรือวาสคิวลาร์แคมเบียม  แบ่งเหมือนกันดังนั้นจะเห็นว่าไซเลมขั้นที่สอง  และโฟลเอ็มขั้นที่สอง  เมื่อตัดตามขวางแล้วยาวต่อเนื่องเป็นวง  แต่ในลำต้นของพันธุ์ไม้เลื้อยบางชนิด  อินเตอร์ฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม  แบ่งเซลล์ให้เซลล์พาเรงคิมา  ทำให้ท่อลำเลียงของมันไม่ต่อเนื่องเป็นวงกลมเหมือนพวกไม้เนื้อแข็ง
                การสร้างไซเลมและโฟลเอ็มจากแคมเบียมจะเรียกว่า เกิดไซเลมขั้นที่สอง หรือโฟลเอ็มขั้นที่สองเสมอ  ไม่ว่าต้นไม้นั้นอายุกี่ปีก็ตาม  ผลจากการแบ่งเซลล์ของแคมเบียม  จึงทำให้ลำต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้น ปกติโฟลเอ็มขั้นที่สองมีขนาดเล็กกว่า  และผนังบางกว่าไซเลมขั้นที่สองมาก  ไซเลมขั้นที่สองจึงมีความคงทนอยู่และกลายเป็นเนื้อไม้
การเจริญเติบโตขั้นที่สอง  (Secondary  growth ) ของลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
                การเจริญเติบโตขั้นที่สองนี้ จะทำให้พืชมีขนาดใหญ่ขึ้นตามเส้นรอบวง  ขณะเดียวกัน  ทางยอดของพืชก็ยังคงเจริญเติบโตต่อไป  การเจริญเติบโตทางด้านข้างนี้  ทำให้พืชเติบโตต่อเนื่องกับการเจริญเติบโตส่วนยอด  และทำให้พืชมีอายุยืนยาวมากขึ้น  แม้เซลล์พืชจะมีอายุไม่เกิน  3  ปี
                การเจริญเติบโตขั้นที่สอง  เป็นการสร้างเนื้อเยื่อลำเลียงขั้นที่สองโดยมีกระบวนการเปลี่ยนแปลง คือ  การสร้างวาสคิวลาร์แคมเบียม (Vascular  cambium) ซึ่งเกิดจากเซลล์ของพิธเรย์ (พิธเรย์เจริญมาจาก  กราวด์ เมริสเต็ม) เนื้อเยื่อเจริญชื่อว่า อินเตอร์ฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม (Interfascicular  cambium) ไปเชื่อมติดกับฟาสซิคิวลาร์แคมเบียม  (ที่อยู่ระหว่างไซเลมขั้นต้น และโฟลเอ็มขั้นต้น)  กลายเป็นวงแหวน  จึงเรียกชื่อใหม่ว่า  วาสคิวลาร์แคมเบียม

ในพืชใบเลี้ยงคู่ แคมเบียมซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเจริญอยู่ระหว่างโฟลเอ็มและไซเลมจะแบ่งเซลล์ให้ทั้งโฟลเอ็มออกไปทางด้านนอกและไซเลมเข้าด้านในเมื่อพืชมีอายุมากขึ้นแคมเบียมจะแบ่งเซลล์ได้โฟลเอ็มและไซเลมจำนวนมาก
  โฟลเอ็มเกิดใหม่จะดันโฟลเอ็มเดิมออกไปทางด้านคอร์เทกซ์จนในที่สุดรวมกันกลายเป็นชั้นเปลือกไม้ (Bark) ส่วนไซเลมใหม่จะดันไซเลมเดิมเข้าไปในชั้นของพิธ  และเข้าสู่ศูนย์กลางของลำต้นเรื่อยไป  ไซเลมที่เกิดในช่วงน้ำอุดมสมบูรณ์ เซลล์จะมีขนาดใหญ่ เรียกว่า สปริงวูด (Spring  wood) แต่ถ้าไซเลมเกิดในช่วงน้ำน้อย  คือ  ในหน้าแล้งเซลล์จะมีขนาดเล็ก  เรียกว่า ซัมเมอร์วูด (Summer  wood) การที่ไซเลมมีขนาดไม่เท่ากันนี้ทำให้เป็นเนื้อไม้ (wood)  คือ  ชั้นตั้งแต่แคมเบียมเข้าไปมีขนาดไม่เท่ากัน  วงแคบมีแถบสีเข้มเป็นช่วงน้ำน้อย  วงกว้าง  คือ สีจาง  เป็นช่วงน้ำอุดมสมบูรณ์  สลับกันเมื่อตัดลำต้นตามขวางวงเหล่านี้สามารถนำไปใช้นับอายุพืชได้  เรียกช่องระหว่างไซเลมแคบไปยังไซเลมกว้างว่า  วงปี (Annual  ring)
เนื่องจากการแบ่งตัวของแคมเบียม  ทำให้วงของโฟลเอ็มขยายออกด้านนอกตลอดเวลา  และไซเลมที่อายุมาที่สุดถูกดันเข้าข้างในสู่ศูนย์กลางของลำต้น  หรือรากมากเข้าทุกทีตามอายุที่มากขึ้น ไซเลมที่อยู่ด้านในจะมีสารพวกน้ำมัน  กัม  เรซิน หรือแทนนิน เข้าไปอุดตันทำให้ไม่สามารถลำเลียงน้ำได้ ไซเลมบริเวณนี้จึงแข็งมาก  เหลือเพียงหน้าที่ค้ำจุน  ในขณะเดียวกันพาเรงคิมาเริ่มตาย  ดังนั้นบริเวณส่วนในสุดของลำต้นที่ไม่สามารถลำเลียงน้ำได้จะเรียกว่า แก่นไม้ (Sap  wood) ซึ่งมีสีจางกว่าและมีความหนา   ค่อนข้างคงที่  ทั้งกระพี้และแก่นไม้รวมกัน เรียกว่าเนื้อไม้ (wood) ดังนั้น  ส่วนของเนื้อไม้จึงนับตั้งแต่ไซเลมขั้นที่สองเข้าไปข้างในจนถึงแกนในสุดของลำต้น  ส่วนเนื้อเยื่อตั้งแต่แคมเบียมออกมาข้างนอก   เรียกว่า  เปลือกไม้ (Bark) ซึ่งประกอบด้วยโฟลเอ็ม  คอร์เทกซื  เอพิเดอร์มิส  แต่ถ้าลำต้นอายุมาก ๆ เนื้อเยื่อชั้นต่าง ๆ จะตายและสลายตัวไป  จึงเหลือแต่โฟลเอ็มที่สร้างขึ้นมาใหม่เท่านั้น

                การเจริญเติบโตขั้นที่สองของพืชใบเลี้ยงคู่  นอกจากจะเกิดจากการแบ่งตัวของแคมเบียมแล้ว ยังเกิดจากการแบ่งตัวของ คอร์กแคมเบียม  คอร์กแคมเบียมเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพาเรงคิมาในชั้นคอร์เทกซ์  ซึ่งอยู่ใต้เอพิเดอร์มิส  เปลี่ยนหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อเจริญ  คอร์กแคมเบียมจะแบ่งตัวให้เซลล์คอร์ก (Cork  cell) หรือเฟลเลม (Phellem) ทางด้านนอก  และให้ได้เฟลโลเดิร์ม (Phelloderm) ทางด้านใน ดังนั้นส่วนของเปลือกไม้จึงประกอบด้วยเนื้อเยื่อเรียงจากชั้นนอกสุดเข้าไปข้างใน  คือ คอร์ก  คอร์กแคมเบียม  เฟลโลเดิร์ม (ถ้ายังเหลืออยู่) คอร์เทกซ์  และโฟลเอ็มตามลำดับ
                การเจริญเติบโตของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
                 โครงสร้างของลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวพวก อ้อยไผ่  มะพร้าว  ข้าวโพดแตกต่าง ๆ จากพืชใบเลี้ยงคู่และพืชพวกสนที่
                1.  ระบบท่อลำเลียงเรียงกันกระจัดกระจาย  ไม่เป็นวงรอบลำต้นจึงไม่เห็นขอบเขตระหว่างพิธและคอร์เทกซ์
                2.  เซลล์ของโพรแคมเจริญไปเป็นไซเลมและโฟลเอ็ม  ไม่มีวาสคิวลาร์แคมเบียม  จึงไม่มีการเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางในระหว่างการเจริญเติบโต เพราะไม่มีการเจริญเติบโตขั้นที่สอง  ทำให้ลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเจริญทางด้านสูงมากกว่าทางด้านกว้าง
                เนื่องจากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไม่มีวาสคิวลาร์แคมเบียม  จึงไม่มีการสร้างไซเลมทั้งสอง  และโฟลเอ็มขั้นที่สองอีก  ท่อลำเลียงชนิดนี้จึงเรียกว่า  มัดท่อน้ำท่ออาหาร ปิด (closed  bundle) ซึ่งหมายถึง ไม่มีการเจริญเติบโตอีกต่อไป  จึงไม่มีการเจริญเติบโตขั้นที่สอง  ส่วนลำต้นของพืชใบเลี้ยงคู่  วาสคิวลาร์แคมเบียมยังคง เปิด”  เพื่อให้มีการเจริญเติบโตขั้นที่สองอีก  จึงเรียกว่ามัดท่อน้ำท่ออาหารชนิดเปิด  (Open  bundle)
ส่วนประกอบของดอกไม้

      1. กลีบเลี้ยง ( Sepal ) เป็นกลีบเล็ก ๆ สีเขียว อยู่ล่างสุดของดอก ในระยะที่ดอก เริ่มผลิดอกออกมาใหม่ ๆ เราจะเห็นดอกตูมสีเขียวขยายโตขึ้น  สีเขียวที่หุ้มดอกจะแยกออกมารองรับกลีบดอก  กลีบสีเขียวนั้นคือกลีบเลี้ยงนั่นเอง  กลีบเลี้ยงจะทําหน้าที่ห่อหุ้มดอกตูมและป้องกันอันตรายให้้กลีบดอกในขณะที่ยังอ่อนอยู่
      
    2. กลีบดอก  ( Petal ) เป็นส่วนที่อยู่เหนือขึ้นมาจากกลีบเลี้ยง  กลีบดอกส่นใหญ่ จะมีสีสวยสะุุุดุุดตาหลายชนิดมีกลิ่นหอม  ความสวยงามของดอกจะขึ้นอยู่กับสี ลักษณะ  และจํานวนของกลีบดอกเป็นสําคัญ กลีบดอกเป็นส่วนประกอบของ ดอกที่บอบชํ้าง่ายและร่วงโรยเร็วกว่าส่วนประกอบอื่นๆ
      
    3. เกสรตัวตัวผู้ ( Stamen )   มีลักษณะทั้วไปเป็นคล้ายหลอดอันเล็กๆ มักมีสีขาว  ปลายหลอดจะมีอับใส่ละอองเรณูรูปร่างค่อนข้างกลมเกสรตัวผู้จะอยู่ถัดจากกลีบดอกเข้ามาข้างในดอก  ก้านของเกสรตัวผู้อาจจะติดกับกลีบดอก  หรือแยกออกมาต่างหากก็ได้  แล้วแต่ชนิดของพืช  ดอกไ้ม้ดอกหนึ่ง ๆ  อาจมีเกสรตัวผ ู้ตั้งแต่หนึ่งอันไปจนถึงหลาย ๆ อัน
     
      4. เกสรตัวเมีย ( Pistil )  เป็นส่วนที่อยู่ตรงกลางของดอก  อาจจะมีอันเดียวหรือหลายอันก็ได้  เกสรตัวเมียโดยทั่วไปจะประกอบด้วยรังไข่ที่อยู่ล่างสุด    บริเวณฐานรองดอก  ภายในรังไข่จะบรรจุไข่อ่อนเล็กๆ ไว้  เหนือรังไข่จะเป็นท่อยาวขึ้นมา  เรียกว่า  ก้านชูเกสร  ในท่อของก้านชูเกสรจะมีน้ำีเหนียว ๆ อยู่  เพื่อนำสเปิิร์มของเกสรตัวผู้ลงมาผสมกับไข่ในรังไข่ของเกสรตัวเมีย  และบนสุดเป็นยอดเกสรตัวเมีย ซึ่งมีนํ้า เหนียวๆ อยู่เช่นกัน นํ้าเหนียวๆ นี้จะช่วยยึดเกาะเกสรตัวผู้ให้เข้ามาผสมกับเกสร   ตัวเมียได้ดีขึ้น



เครื่องมือทางภูมิศาสตร์

เครื่องมือทางภูมิศาสตร์
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ประเภทให้ข้อมูลกับประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ มีดังนี้
1.             ประเภทให้ข้อมูล ได้แก่ แผนที่ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม และอินเตอร์เน็ต
 
2.             ประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ ได้แก่ เข็มทิศ เครื่องมือวัดพื้นที่ เทปวัดระยะทาง เครื่องย่อขยายแผนที่ กล้องวัดระดับ กล้องสามมิติ กล้องสามมิติแบบพกพา และเครื่องมือวัดลักษณะอากาศแบบต่างๆ เช่น เทอร์โมมิเตอร์ บาโรมิเตอร์ และเครื่องวัดน้ำฝน เป็นต้น
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ประเภทให้ข้อมูล

    1. แผนที่
        แผนที่ (Map) เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่ง โดยการย่อข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏบนพื้นโลกให้มีขนาดเล็กลงตามมาตราส่วน และแสดงข้อมูลดังกล่าวด้วยสัญลักษณ์ลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ ผ้า แผ่นพลาสติก ฯลฯ
ข้อมูลที่แสดงในแผนที่ มี 2 ลักษณะ คือ
  • ข้อมูลด้านกายภาพ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ภูเขา เกาะ และป่าไม้ เป็นต้น
  • ข้อมูลด้านวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น  ถนน เขื่อน โรงเรียน สถานีอนามัย เป็นต้น
     2. รูปถ่ายทางอากาศ
          รูปถ่ายทางอากาศ (Aerial Photography) เป็นรูปภาพแสดงภูมิประเทศที่ปรากฏบนพื้นผิวโลกถ่ายโดยใช้กล้องถ่ายรูปติดไว้กับเครื่องบิน      หน่วยราชการที่จัดทำรูปถ่ายทางอากาศ คือ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม 
     3. ภาพจากดาวเทียม
         ภาพจากดาวเทียม (Satellite Imagery) ให้ประโยชน์อย่างมากในการศึกษาข้อมูลเพื่อสำรวจแห่งทรัพยากรธรรมชาติ ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีสถานีรับสัญญาณภาพดาวเทียมลาดกระบัง ตั้งอยู่ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่เคยพึ่งพาต่างประเทศ  การทำงานรับภาพของดาวเทียม เรียกว่า กระบวนการรีโมทเซนซิง (Remote Sensing ) โดยดาวเทียมจะเก็บข้อมูลของวัตถุหรือพื้นที่เป้าหมายบนพื้นโลก จากรังสีที่สะท้อนขึ้นไปจากผิวโลกหรือจากอุณหภูมิของวัตถุนั้น ๆ บนพื้นผิวโลก  จากนั้นดาวเทียมจะส่งข้อมูลเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามายังสถานีภาคพื้นดิน ซึ่งจะบันทึกเป็นข้อมูลเชิงตัวเลขในแถบบันทึกข้อมูล เพื่อนำไปประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์ และนำเสนอเป็นแผ่นฟิล์มหรือภาพพิมพ์ต่อๆไป
     4. อินเตอร์เน็ต
         อินเตอร์เน็ต (Internet) หรือไซเบอร์สเปซ (Cyber Space) คือ ระบบการสื่อสารด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานทั่วโลกเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างสะดวกและรวดเร็ว จนทำให้โลกในปัจจุบันเข้าสู่ยุค การสื่อสารไร้พรมแดน”   บริการในอินเตอร์เน็ต (World Wind Web : WWW) จะให้บริการข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง หรือ ภาพยนตร์ ข้อมูลเหล่านี้ เรียกว่า เว็บเพ็จ” (Web Page)  มีการเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกคล้ายใยแมงมุม

เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ประเภทเครื่องมืออุปกรณ์
      อุปกรณ์ทางภูมิศาสตร์ หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช่วัดหรือเก็บข้อมูลทางภูมิศาสตร์ในด้านต่างๆ เช่น ทิศระยะทาง ความสูง ตำแหน่งที่ตั้ง อุณหภูมิของอากาศ และปริมาณฝน เป็นต้น สรุปได้ดังนี้
      1. เข็มทิศ
          เข็มทิศเป็นเครื่องมือบอกทิศอย่างง่าย ๆ โดยจะทำปฏิกิริยากับแม่เหล็กโลกและแสดงค่าของมุมบนหน้าปัด วิธีใช้เข็มทิศ คือ วางทิศในแนวระนาบ ปรับหมุนหน้าปัดให้เข็มบอกค่าบนหน้าปัดอยู่ในตำแหน่งที่หันไปทางทิศเหนือแม่เหล็กโลก   ต่อจากนั้นจึงนำเข็มทิศหันเข้าหาตำแหน่งที่ต้องการวัดมุม เช่น เสาธงโรงเรียน เข็มทิศก็จะบอกให้ทราบว่าเสาธงของโรงเรียนอยู่ในทิศใด และทำมุมกี่องศากับทิศเหนือแม่เหล็กโลก
      2. เครื่องมือวัดพื้นที่
          เครื่องมือวัดพื้นที่ (Planimeter) มีลักษณะคล้ายไม้บรรทัดทำด้วยโลหะยาวประมาณ 1 ฟุต ใช้สำหรับวัดพื้นที่ในแผนที่ โดยเครื่องจะคำนวณให้ทราบค่าของพื้นที่แสดงค่าบนหน้าปัด
      3. เทปวัดระยะทาง
          เทปวัดระยะทาง ใช้สำหรับวัดระยะทางของพื้นที่ เมื่อลงไปสำรวจหรือเก็บข้อมูลภาคสนาม เทปวัดระยะทางมี 3 ชนิด ได้แก่ เทปที่ทำด้วยผ้า เทปที่ทำด้วยโลหะ และเทปที่ทำด้วยโซ่
      4. เครื่องย่อขยายแผนที่
          เครื่องย่อขยายแผนที่ ( patograph) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดทำแผนที่อย่างหนึ่ง เพื่อย่อหรอขยายแผนที่ให้ได้ขนาดหรือมาตราส่วนตามที่ต้องการ โดยทั่วไปนิยมใช้แบบโต๊ะไฟ ซึ่งมีแท่นวางแผนที่จ้นฉบับ และมีไฟส่องอยู่ใต้กระจก ทำให้เห็นแผนที่ต้นฉลับปรากฏเป็นเงาบนกระจกอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผู้จัดทำแผนที่ดังกล่าว จะต้องลอกลายเพื่อย่อหรอขยายแผนที่ด้วยมือของตนเอง
      5. กล้องวัดระดับ
          กล้องวัดระดับ (Telescope) เป็นอุปกรณ์วัดระดับความสูงจากพื้นดิน เพื่อสำรวจพื้นที่สร้างถนน โดยจะช่วยกำหนดระดับแนวถนนได้ตามที่ต้องการ
      6. กล้องสามมิติ หรือสเตริโอสโคป
          กล้องสามมิติ หรือสเตริโอสโคป  (Stereoscope) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ดูรูปถ่ายทางอากาศ เพื่อ
พิจารณาความสูงต่ำของลักษณะภูมิประเทศ

ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี

ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
                   1.การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น และเมื่อลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้าลง
                   2.การเพิ่มพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น
                   3.การเพิ่มอุณหภูมิจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น และการลดอุณหภูมิจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้าลง
                   4.ตัวเร่งปฏิกิริยาจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้น และตัวหน่วงปฏิกิริยาจะทำให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้าลง

อัตราเร็วคลื่น

อัตราเร็วคลื่น
              อัตราเร็วคลื่น (V) คือ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่คลื่น เคลื่อนที่ไปได้ต่อเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนไป เราสามารถคำนวณหาอัตราเร็วคลื่นได้จาก
  หรือ 
              เมื่อ   V = อัตราเร็ว (m/s)
                        S = ระยะทางที่เคลื่อนที่ไปได้ (m)
                        T = เวลาที่คลื่นใช้ในการเคลื่อนที่ (s)
                        F = ความถี่คลื่น (Hz หรือ 1/S)
                       = ความยาวคลื่น (m)